ไฟฟ้าพลังน้ำ (Hydroelectricity)
พลังน้ำ (Hydropower)
พลังน้ำ คือ พลังหรือกำลังที่เกิดจากการไหลของน้ำ ซึ่งเป็นพลังที่มีอนุภาพมาก หากไม่สามารถควบคุมได้ พลังน้ำนั้นก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างกว้างขวาง ดังตัวอย่างเช่น การเกิดอุทกภัยในบริเวณที่ลาดเชิงเขา หรือบริเวณที่มีความลาดชันสูง และการเกิดสึนามิ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม หากสามารถควบคุมพลังน้ำได้ตามแนวทางที่เหมาะสม พลังน้ำอันมหาศาลนั้น ก็สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติได้
พลังน้ำได้ถูกใช้ประโยชน์มาแล้วหลายร้อยปี กังหันน้ำสำหรับยกน้ำขึ้นสู่ที่สูงเพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและการชลประทาน เพื่อหมุนเครื่องจักรในโรงงานสีข้าว โรงงานทอผ้า โรงงานเลื่อยไม้ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในปัจจุบัน นิยมใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า ไฟฟ้าพลังน้ำ
หลักการทำงานของไฟฟ้าพลังน้ำ
ไฟฟ้าพลังน้ำ คือ ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังน้ำ โดยใช้พลังงานจลน์ของน้ำซึ่งเกิดจากการปล่อยน้ำจากที่สูงหรือการไหลของน้ำ หรือการขึ้น-ลงของคลื่น ไปหมุนกังหันน้ำ (Turbine) และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยพลังงานที่ได้จากไฟฟ้าพลังน้ำนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ความแตกต่างของระดับน้ำ และประสิทธิภาพของกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กำลังไฟฟ้าและพลังงานจากพลังน้ำ สามารถคำนวณได้จากสมการ ดังนี้
นอกจากตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณกำลังไฟฟ้าแล้ว ควรต้องทำความรู้จัก Plant Factor ซึ่งหมายถึง สัดส่วนของพลังงานที่ผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่งต่อพลังงานที่คาดว่าจะผลิตได้เต็มตามศักยภาพในช่วงเวลาทั้งหมด โดยปกติทั่วไป ค่า Plant Factor จะต่ำกว่า 1 หรือ ต่ำกว่า 100% ทั้งนี้เนื่องจากการปิดโรงไฟฟ้าเพื่อซ่อมและบำรุงรักษาประจำปี นอกจากนี้ ยังผันแปรตามปัจจัยอื่นๆ อีก อาทิ ความมากน้อยของปริมาณน้ำ (แหล่งเชื้อเพลิง) และการออกแบบ หากออกแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำให้เดินเครื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวขึ้น ค่า Plant Factor ย่อมสูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีระยะเวลาเดินเครื่องที่สั้นกว่า โดยปกติทั่วไป หากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
มีข้อจำกัดด้านปริมาณน้ำ โรงไฟฟ้าพลังน้ำนั้น จะผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบสนองเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ให้ค่าตอบแทนสูงสุด ในประเทศไทย ช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้ามาก คือ วันทำงานในช่วงเวลา 9:00-12:00 น. 13:00-15:00 น. และ 19:00-21:00 น.
รูปแบบของไฟฟ้าพลังน้ำ
โดยทั่วไป รูปแบบของไฟฟ้าพลังน้ำที่นิยมใช้กันแพร่หลาย มี 3 ประเภท คือ
1. ไฟฟ้าพลังน้ำจากอ่างเก็บน้ำ อ่างเก็บน้ำจะทำหน้าที่รวบรวมและเก็บกักน้ำ เมื่อปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำลงสู่ที่ต่ำโดยแรงดึงดูดของโลก พลังน้ำที่เกิดจากการไหลจะหมุนกังหันน้ำ (Turbine) และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ในกรณีที่เป็นอ่างเก็บน้ำ
ขนาดใหญ่ จะทำให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้สะดวก ดังนั้น ในเชิงเศรษฐศาสตร์หรือธุรกิจแล้ว โรงไฟฟ้าพลังน้ำประเภทนี้ มักผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง ซึ่งเป็นช่วงที่ให้ค่าตอบแทนสูง
ขนาดใหญ่ จะทำให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้สะดวก ดังนั้น ในเชิงเศรษฐศาสตร์หรือธุรกิจแล้ว โรงไฟฟ้าพลังน้ำประเภทนี้ มักผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง ซึ่งเป็นช่วงที่ให้ค่าตอบแทนสูง
ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากอ่างเก็บน้ำจะผันแปรตามปริมาณน้ำที่ปล่อยจากอ่างเก็บน้ำ และความแตกต่างระหว่างระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและระดับน้ำที่ปล่อย (ด้านท้ายน้ำ)
โดยทั่วไป โครงการไฟฟ้าพลังน้ำส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของไฟฟ้าพลังน้ำจากอ่างเก็บน้ำ ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพล (แม่น้ำปิง จังหวัดตาก) โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิริกิติ์ (แม่น้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ (แม่น้ำแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี) เป็นต้น
2. ไฟฟ้าพลังน้ำแบบ Run-of-the-river โรงไฟฟ้าพลังน้ำประเภทนี้ เป็นรูปแบบที่ไม่มีอ่างเก็บน้ำเป็นองค์ประกอบ จึงไม่มีการบริหารจัดการน้ำ ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบ Run-of-the-river จะทำงานตลอดเวลาตามปริมาณน้ำที่ไหลในแม่น้ำ เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบ Run-of-the-river มักสร้างอยู่ในบริเวณพื้นที่ค่อนข้างราบ และมีอาคารสำหรับทดน้ำให้สูงขึ้น ด้วยข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ ทำให้ความแตกต่างระหว่างระดับน้ำที่ทดขึ้น กับระดับที่ปล่อยทางด้านท้ายน้ำมีความแตกต่างกันไม่มากนัก ดังนั้น ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบ Run-of-the-river จึงผันแปรตามปริมาณน้ำเป็นสำคัญ
โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบ Run-of-the-river มักก่อสร้างในบริเวณที่มีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก และมีน้ำไหลตลอดปี แต่มีภูมิประเทศไม่เหมาะสมที่จะก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ โรงไฟฟ้าประเภทนี้ในประเทศไทย ได้แก่ โรงไฟฟ้าเขื่อนปากมูล (แม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี)
3. ไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เป็นรูปแบบการผลิตไฟฟ้าที่ตอบสนองช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด โดยการถ่ายเทน้ำระหว่างอ่างเก็บน้ำที่มีระดับแตกต่างกัน ในช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟฟ้าน้อย ปริมาณไฟฟ้าส่วนเกินในระบบจะถูกนำมาใช้ในการสูบน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำที่อยู่สูงกว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก น้ำจะถูกปล่อยกลับลงมายังอ่างเก็บน้ำที่อยู่ต่ำกว่าและผลิตไฟฟ้า ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จึงผันแปรตามปริมาณน้ำ และความแตกต่างของระดับน้ำของอ่างเก็บน้ำทั้งสอง
ตัวอย่างโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับในประเทศไทย คือ โรงไฟฟ้าเขื่อนลำตะคองชลภา-วัฒนา โดยใช้เขื่อนลำตะคอง (แม่น้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา) ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่เดิมและบริหารจัดการน้ำโดยกรมชลประทาน เป็นอ่างเก็บน้ำตัวล่าง และก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตัวบนเพิ่มเติมบนเขายายเที่ยง รูปแบบโรงไฟฟ้าเขื่อนลำตะคองชลภาวัฒนา เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำให้กับอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่แล้ว และยังเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย
ประโยชน์ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ทรัพยากรน้ำเป็นแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติหมุนเวียนของโรงไฟฟ้า พลังงานน้ำ (Renewable Natural Resource) โดยแตกต่างจากแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติประเภทอื่นๆ ซึ่งมีปริมาณจำกัด เช่น น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นต้น จากวัฏจักรอุทกวิทยา เมื่อฝนตกลงมา น้ำฝนส่วนหนึ่งจะถูกเก็บกักตามที่ลุ่มต่างๆ ทั้งบนพื้นดินและตามใบไม้ต่างๆ และซึมลงสู่ใต้ดิน โดยน้ำส่วนเกินก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ และในที่สุดก็ไหลลงสู่ทะเล สำหรับน้ำที่ไหลลงสู่ใต้ดิน บางส่วนก็ถูกขังอยู่ใต้ชั้นดินเป็นน้ำบาดาล บางส่วนก็ไหลกลับลงสู่แม่น้ำ น้ำที่อยู่บนผิวดินในที่ต่างๆ และในทะเล จะระเหยกลายเป็นไอน้ำ ซึ่งรวมถึงการคายน้ำของพืชด้วย และเมื่อมีสภาวะที่เหมาะสม ไอน้ำเหล่านั้นก็จะรวมตัวเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำตกลงมาเป็นฝน วนเวียนตามวัฏจักรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติหมุนเวียน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะเมื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังน้ำยังมีอายุการใช้งานค่อนข้างยาวกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ซึ่งผลิตไฟฟ้าจากน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลมีอายุการใช้งานประมาณ 14-46 ปี (ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไม่พร้อมกัน มีจำนวนทั้งสิ้น 8 ชุด ชุดที่ 1 และ 2 ใช้งานในปี 2507 ชุดที่ 8 ใช้งานใน
ปี 2539) นอกจากนี้ ค่าบำรุงรักษาและค่าดำเนินการยังต่ำกว่าอีกด้วย ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำจึงมี
ความเหมาะสมในเชิงเศรษฐกิจสูง เมื่อเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
ปี 2539) นอกจากนี้ ค่าบำรุงรักษาและค่าดำเนินการยังต่ำกว่าอีกด้วย ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำจึงมี
ความเหมาะสมในเชิงเศรษฐกิจสูง เมื่อเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ
การที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำไม่ได้ใช้ฟอสซิลเป็นแหล่งเชื้อเพลิง จึงไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็น Greenhouse Gas และเป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
อัตลักษณ์ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่โดดเด่น คือ เปิดปุ๊บ ติดปั๊บ ซึ่งโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ จึงมีประสิทธิผลต่อการรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย เช่น ในกรณีที่ระบบส่งเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ) สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเสียอย่างกระทันหันในช่วงวันทำงาน โรงไฟฟ้าพลังน้ำก็สามารถเข้ามาเสริมได้ทันที ซึ่งหากใช้โรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมเพื่อเสริมในส่วนที่ขาดหายไปแล้ว ก็จะต้องใช้เวลาเพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มที่ โดยช่วงเวลาที่รอนั้น อาจทำความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ตัวอย่างเช่น
เมื่อมีปัญหาจากแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติยาดานาในประเทศพม่า ลดลง 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตในช่วงเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงพึ่งไฟฟ้าพลังน้ำมากขึ้น โดยปล่อยน้ำจาก เขื่อนศรีนครินทร์มากขึ้นต่อเนื่อง และเป็นระยะเวลายาวขึ้น เป็นต้น
ข้อเสียของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ คือ ต้องมีอ่างเก็บน้ำ ซึ่งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำก่อให้เกิด
ความขัดแย้ง ในสังคมมากมายเนื่องจากผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบด้านสังคมกับประชาชนที่อาศัยและมีที่ดินทำกินในบริเวณพื้นที่อ่างเก็บน้ำและพื้นที่ก่อสร้าง และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยผลกระทบดังกล่าว เป็นหัวข้อสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมระหว่างผู้ที่เห็นด้วย (ได้รับประโยชน์) และผู้ที่ไม่เห็นด้วย (เสียประโยชน์)
ความขัดแย้ง ในสังคมมากมายเนื่องจากผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบด้านสังคมกับประชาชนที่อาศัยและมีที่ดินทำกินในบริเวณพื้นที่อ่างเก็บน้ำและพื้นที่ก่อสร้าง และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยผลกระทบดังกล่าว เป็นหัวข้อสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมระหว่างผู้ที่เห็นด้วย (ได้รับประโยชน์) และผู้ที่ไม่เห็นด้วย (เสียประโยชน์)
ผลกระทบจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ น่าจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม น้ำจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การเก็บกักน้ำเพื่อตอบสนองต่อความต้องการจึงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ โดยปกติตามธรรมชาติ ฝนจะตกไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี โดยเฉลี่ยในช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) จะมีฝนประมาณ 80-90% ของปริมาณฝนทั้งปี และจะมีฝนเพียง 10-20% ในช่วง 6 เดือนที่เหลือ (ภาคใต้จะมีช่วงฤดูฝนยาวกว่าภาคอื่นๆ โดยสิ้นฤดูฝนประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม) นอกจากนี้ ในช่วงฤดูฝนเองก็อาจเกิดเหตุการณ์ฝนทิ้งช่วง และด้วยความผันแปรทางธรรมชาติ ปริมาณฝนในแต่ละปีก็จะมีความแตกต่างกัน บางปีมาก บางปีน้อย บางปีปานกลาง
และหากโชคร้ายมีฝนน้อยติดต่อกันหลายๆ ปี ดังตัวอย่างรูปแบบน้ำท่าของลำอีซูในลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยเหตุการณ์ธรรมชาติเหล่านี้ ไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การเกิดอุทกภัยในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหากไม่มีเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบัน อ่างเก็บน้ำที่มีขนาดที่เหมาะสมคือเครื่องมือหนึ่งที่มีประสิทธิผลในการบริหารจัดการน้ำ โดยเก็บกักน้ำในช่วงน้ำมาก เพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงที่ขาดแคลนน้ำ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำจึงมีความจำเป็นเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำของประเทศ ไม่ใช่เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ แต่การติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำของเขื่อนต่างๆ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ เพิ่มมูลค่าน้ำ ลดภาวะมลพิษและโลกร้อน และทำให้การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำสามารถคืนทุนได้เร็วขึ้น ดังนั้น แนวคิดในการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่อาคารองค์ประกอบโครงการชลประทานต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่โดยได้รับความร่วมมือจากกรมชลประทานนั้น จึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และควรเร่งขยายการดำเนินการ
ปริมาณไฟฟ้าพลังน้ำ
เนื่องจากไฟฟ้าพลังน้ำเป็นพลังงานทางเลือกที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำจึงมีการพัฒนาอย่างกว้างขวาง ในปี 2549 ทั่วโลกมีการติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำรวมทั้งสิ้น 777,000 MW สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2,998 TWh (ยังไม่รวม Three Gorges Dam ในประเทศจีน ซึ่งเป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก) เป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณไฟฟ้าโลก และเป็นสัดส่วนประมาณ 88% ของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน
หลังจากประเทศจีนก่อสร้าง Three Gorges Dam แล้วเสร็จ ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมา ได้แก่ Itaipu Dam ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศปารากวัยและประเทศบราซิล และลำดับสาม ได้แก่ Guri Dam ในประเทศเวเนซูเอลา โดยรายเละเอียดได้แสดงไว้ใน ตารางที่ 1
ตารางที่ 1 โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก | |||
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ | ประเทศ | จำนวนชุด @ MW | กำลังติดตั้ง (MW) |
1. Three Gorges Dam | จีน | 26,700 | 18,200 |
2. Itaibu Dam | ปารากวัย-บราซิล | 20 @ 700 | 14,000 |
3. Guri Dam | เวเนซูเอลา | 10 @ 1,020 | 10,200 |
4. Tucurui Dam | บราซิล | 8,400 | |
5. Sayano-Shushenskaya Dam | รัสเซีย | 10 @ 640 | 6,400 |
6. Krasnoyarsk | รัสเซีย | 6,000 |
หมายเหตุ จีนมีแผนที่จะติดตั้งเพิ่มเติมอีก 6@700 MW
ประเทศปารากวัย นอร์เวย์ บราซิล เวเนซูเอลา และแคนาดา เป็นกลุ่มประเทศที่ใช้ไฟฟ้าจากไฟฟ้าพลังน้ำเป็นส่วนใหญ่
(ตารางที่ 2) โดยประเทศปารากวัยนอกจากใช้ไฟฟ้า 100% จากไฟฟ้าพลังน้ำแล้ว ยังส่งออกอีกประมาณ 90% ของไฟฟ้าพลังน้ำที่ผลิตได้ไปยังประเทศบราซิลและประเทศอาร์เจนตินา
ตารางที่ 2 สัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากไฟฟ้าพลังน้ำ
| ||||
ประเทศ
|
พลังงานไฟฟ้า (TWh)
|
กำลังติดตั้ง (GW)
|
Capacity Factor
|
สัดส่วนต่อไฟฟ้าทั้งหมด (%)
|
ปารากวัย
|
64.0
|
-
|
-
|
1,000.00
|
นอร์เวย์
|
140.5
|
27.528
|
0.49
|
98.25
|
บราซิล
|
363.8
|
69.080
|
0.56
|
85.56
|
เวเนซูเอล่า
|
86.8
|
-
|
-
|
67.17
|
แคนาดา
|
369.5
|
88.974
|
0.59
|
61.12
|
สวีเดน
|
65.5
|
16.209
|
0.46
|
44.34
|
รัสเซีย
|
167.0
|
45.000
|
0.42
|
17.64
|
จีน 1/
|
585.2
|
171.52
|
0.37
|
17.18
|
อินเดีย
|
115.6
|
33.600
|
0.43
|
15.80
|
ฝรั่งเศส
|
63.4
|
25.335
|
0.25
|
11.23
|
ญี่ปุ่น
|
69.2
|
27.229
|
0.37
|
7.21
|
สหรัฐอเมริกา
|
250.6
|
79.511
|
0.42
|
5.74
|
หมายเหตุ 1/ข้อมูลปี 2551
|
สำหรับประเทศไทย ไฟฟ้าพลังน้ำที่ใช้ในประเทศมาจาก 3 แห่ง ด้วยกัน คือ จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โรงไฟฟ้าพลังน้ำในความรับผิดชอบของกรมพัฒนา-พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โดยในปี 2552 ไฟฟ้าที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังน้ำที่ใช้ในประเทศมีปริมาณทั้งสิ้น 9,313 GWh ดังที่ได้แสดงไว้ใน ตารางที่ 3 ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
แหล่ง
|
พลังงานไฟฟ้า (GWh)
|
สัดส่วน (%)
|
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
|
6,942.24
|
74.54
|
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
|
24.04
|
0.26
|
จากประเทศลาว
|
2,346.76
|
25.20
|
รวม
|
9,313.04
|
100.00
|
ตารางที่ 3 กำลังติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำในระบบไฟฟ้าของประเทศไทย (ปี 2552) (ต่อ) | ||||||||||||
โรงไฟฟ้า | จังหวัด | ชุดที่ | กำลังผลิต (MW) | พลังงาน (GWh) | Plant Factor | วันใช้งาน | ||||||
แต่ละชุด | รวม | |||||||||||
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | ||||||||||||
1 | เขื่อนภูมิพล | ตาก | 1 | 82.20 | 17 | พ.ค. | 2507 | |||||
2 | 82.20 | 15 | มิ.ย. | 2507 | ||||||||
3 | 82.20 | 11 | พ.ค. | 2510 | ||||||||
4 | 82.20 | 9 | ส.ค. | 2510 | ||||||||
5 | 82.20 | 25 | ต.ค. | 2511 | ||||||||
6 | 82.20 | 18 | ส.ค. | 2512 | ||||||||
7 | 115.00 | 18 | ต.ค. | 2525 | ||||||||
8 | 171.00 | 779.20 | 1,667.95 | 0.24 | 16 | ม.ค. | 2539 | |||||
2 | เขื่อนน้ำพุง | สกลนคร | 1 | 3.00 | 20 | ต.ค. | 2508 | |||||
2 | 3.00 | 6.00 | 16.50 | 0.31 | 20 | ต.ค. | 2508 | |||||
3 | เขื่อนอุบลรัตน์ | ขอนแก่น | 1 | 8.40 | 13 | มี.ค. | 2509 | |||||
2 | 8.40 | 13 | มี.ค. | 2509 | ||||||||
3 | 8.40 | 25.20 | 66.94 | 0.30 | 19 | มิ.ย. | 2511 | |||||
4 | เขื่อนสิรินธร | อุบลราชธานี | 1 | 12.00 | 1 | พ.ย. | 2514 | |||||
2 | 12.00 | 31 | ต.ค. | 2514 | ||||||||
3 | 12.00 | 36.00 | 129.95 | 0.41 | 28 | มี.ค. | 2527 | |||||
5 | เขื่อนจุฬาภรณ์ | ชัยภูมิ | 1 | 20.00 | 29 | ต.ค. | 2515 | |||||
2 | 20.00 | 40.00 | 123.01 | 0.35 | 6 | พ.ย. | 2515 | |||||
6 | เขื่อนสิริกิติ์ | อุตรดิตถ์ | 1 | 125.00 | 12 | ม.ค. | 2517 | |||||
2 | 125.00 | 18 | มี.ค. | 2517 | ||||||||
3 | 125.00 | 3 | ก.ค. | 2517 | ||||||||
4 | 125.00 | 500.00 | 1,144.51 | 0.26 | 19 | ก.ย. | 2538 | |||||
7 | เขื่อนแก่งกระจาน | เพชรบุรี | 1 | 19.00 | 19.00 | 7 | ส.ค. | 2517 | ||||
8 | เขื่อนบ้านยาง | เชียงใหม่ | 1 | 0.06 | 1 | ก.พ. | 2517 | |||||
2 | 0.06 | |||||||||||
3 | 0.01 | 0.13 | 0.33 | 0.29 | ||||||||
9 | เขื่อนศรีนครินทร์ | กาญจนบุรี | 1 | 120.00 | 12 | ก.พ. | 2523 | |||||
2 | 120.00 | 26 | ก.พ. | 2523 | ||||||||
3 | 120.00 | 19 | มี.ค. | 2523 | ||||||||
4 | 180.00 | 25 | พ.ย. | 2528 | ||||||||
5 | 180.00 | 720.00 | 1,465.88 | 0.23 | 19 | มี.ค. | 2534 | |||||
10 | เขื่อนบางลาง | ยะลา | 1 | 24.00 | 7 | ก.ค. | 2524 | |||||
2 | 24.00 | 10 | ส.ค. | 2524 | ||||||||
3 | 24.00 | 72.00 | 263.48 | 0.42 | 25 | ต.ค. | 2524 | |||||
11 | เขื่อนห้วยกุ่ม | ชัยภูมิ | 1 | 1.06 | 1.06 | 3.98 | 0.43 | 11 | ก.พ. | 2525 | ||
12 | เขื่อนบ้านสันติ | ยะลา | 1 | 1.28 | 1.28 | 8.47 | 0.76 | 19 | ต.ค. | 2525 | ||
13 | เขื่อนท่าทุ่งนา | กาญจนบุรี | 1 | 19.50 | 24 | ธ.ค. | 2525 | |||||
2 | 19.50 | 39.00 | 192.88 | 0.56 | 7 | ก.พ. | 2525 | |||||
14 | เขื่อนบ้านขุนกลาง | เชียงใหม่ | 1 | 0.09 | 5 | ธ.ค. | 2526 | |||||
2 | 0.09 | 5 | ธ.ค. | 2526 | ||||||||
3 | 0.02 | 0.20 | 1.15 | 0.66 | 4 | พ.ย. | 2547 | |||||
15 | เขื่อนคลองช่องกล่ำ | สระแก้ว | 1 | 0.02 | 0.02 | 0.02 | 0.11 | 12 | ก.ย. | 2527 | ||
16 | เขื่อนวชิราลงกรณ์ | กาญจนบุรี | 1 | 100.00 | 13 | ก.พ. | 2528 | |||||
2 | 100.00 | 24 | ธ.ค. | 2527 | ||||||||
3 | 100.00 | 300.00 | 1,007.97 | 0.38 | 29 | ต.ค. | 2527 | |||||
17 | เขื่อนแม่งัด | เชียงใหม่ | 1 | 4.50 | 19 | ต.ค. | 2528 | |||||
2 | 4.50 | 9.00 | 16.31 | 0.21 | 25 | ก.ย. | 2528 | |||||
18 | เขื่อนรัชชประภา | สุราษฎร์ธานี | 1 | 80.00 | 21 | พ.ค. | 2530 | |||||
2 | 80.00 | 8 | เม.ย. | 2531 | ||||||||
3 | 80.00 | 240.00 | 484.90 | 0.23 | 23 | ธ.ค. | 2529 | |||||
19 | เขื่อนห้วยกุยมั่ง | กาญจนบุรี | 1 | 0.10 | 0.10 | 0.18 | 0.21 | 2 | ก.ย. | 2530 | ||
20 | เขื่อนปากมูล | อุบลราชธานี | 1 | 34.00 | 9 | ต.ค. | 2537 | |||||
2 | 34.00 | 2 | ก.ย. | 2537 | ||||||||
3 | 34.00 | 24 | มิ.ย. | 2537 | ||||||||
4 | 34.00 | 136.00 | 155.31 | 0.13 | 14 | ส.ค. | 2537 | |||||
21 | เขื่อนลำตะคอง ชลภาวัฒนา | นครราชสีมา | 1 | 250.00 | 19 | ก.ค. | 2547 | |||||
2 | 250.00 | 500.00 | 192.52 | 0.04 | 19 | ก.ค. | 2547 | |||||
รวม | 3,424.19 | 3,424.19 | 6,942.24 | 0.23 | ||||||||
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ||||||||||||
1 | คีรีธาร | จันทบุรี | 12.20 | 12.20 | 24.04 | 0.22 | 4 | ธ.ค. | 2529 | |||
รวม | 12.20 | 12.20 | 24.04 | |||||||||
ซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศลาว | ||||||||||||
1 | Nam Ngum & Xeset | 191.23 | ||||||||||
2 | Theun Hinboun | 1 | 107.00 | 6 | ม.ค. | 2541 | ||||||
2 | 107.00 | 214.00 | 1,455.66 | 6 | ม.ค. | 2541 | ||||||
3 | Houay-Ho | 1 | 63.00 | 3 | ก.ย. | 2542 | ||||||
2 | 63.00 | 126.00 | 250.91 | 3 | ก.ย. | 2542 | ||||||
4 | Nam Theun 2 | 448.96 | ||||||||||
รวม | 2,346.76 |
ในปี 2552 พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และซื้อมีปริมาณทั้งสิ้น 145,233.02 GWh โดยเป็นพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำที่ผลิตภายในประเทศ 6,966.28 GWh หรือประมาณ 4.8% ของความต้องการพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด
เนื่องจากประเทศมีความจำเป็นต้องการแหล่งผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงมีแผนที่จะติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำในโครงการชลประทานต่างๆ ในปัจจุบันที่มีศักยภาพ โดยคาดว่าภายในปี 2556 จะสามารถติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มเติมได้ประมาณ 78.7 MW ดังที่ได้สรุปไว้ในตารางที่ 4
ตารางที่ 4 แผนการติดตั้งไฟฟ้าพลังน้ำในโครงการชลประทานปัจจุบัน | ||||||
โรงไฟฟ้า | ชุดที่ | กำลังผลิต (MW) | วันใช้งาน | |||
แต่ละชุด | รวม | |||||
1 | เขื่อนเจ้าพระยา | 1 | 6.0 | ม.ค. | 2554 | |
2 | 6.0 | 12.0 | ม.ค. | 2554 | ||
2 | เขื่อนนเรศวร | 1 | 8.0 | 8.0 | ต.ค. | 2554 |
3 | เขื่อนแม่กลอง | 1 | 6.0 | ม.ค. | 2555 | |
2 | 6.0 | 12.0 | ม.ค. | 2555 | ||
4 | เขื่อนขุนด่านปราการชล | 1 | 10.0 | 10.0 | เม.ย. | 2555 |
5 | เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ | 1 | 6.7 | 6.7 | พ.ค. | 2555 |
6 | เขื่อนแควน้อย | 1 | 15.0 | ม.ค. | 2556 | |
2 | 15.0 | 30.0 | ม.ค. | 2556 | ||
รวม | 78.7 | 78.7 |
สรุป
พลังน้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติหมุนเวียนที่มีพลังมหาศาล ซึ่งหากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมแล้ว นอกจากจะสามารถบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยแล้ว ยังมีประโยชน์อย่างอนันต์ต่อมนุษยชาติ เฉกเช่นไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นมิตรต่อภาวะแวดล้อมของโลก ดังนั้น จึงควรสนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ำควบคู่กับการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ในประเทศไทย ทัศนคติของสังคมต่อการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำยังคงเป็นทัศนคติทางด้านลบ เพราะเข้าใจว่าการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำเป็นการแย่งชิงทรัพยากรน้ำจากภาคการเกษตร (คนจน) ไปให้ภาคอุตสาหกรรม
(คนรวย) ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง จึงควรมีการปรับเปลี่ยนทัศนคตินั้นให้ถูกต้องตามเหตุและผล เพื่อประเทศจะสามารถพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำได้ต่อไป อันจะทำให้การใช้ทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาวะมลพิษต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนอื่นๆ ซึ่งใช้ฟอสซิลเป็นแหล่งเชื้อเพลิง
(คนรวย) ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง จึงควรมีการปรับเปลี่ยนทัศนคตินั้นให้ถูกต้องตามเหตุและผล เพื่อประเทศจะสามารถพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำได้ต่อไป อันจะทำให้การใช้ทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาวะมลพิษต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนอื่นๆ ซึ่งใช้ฟอสซิลเป็นแหล่งเชื้อเพลิง
ความพยายามในการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำจากโครงการแหล่งน้ำและชลประทานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นแนวทางที่ถูกต้องที่รัฐควรให้การสนับสนุน และควรมีการขยายขอบเขตการดำเนินงานให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น